วันพุธที่ 4 กันยายน พ.ศ. 2556

ประวัติของดนตรีสากล


        ประวัติของดนตรีสากล

  การสืบสาวเรื่องราวเกี่ยวกับความเป็นมาของดนตรีตั้งแต่สมัยโบราณมา นับว่าเป็นเรื่องยากที่จะให้ได้เรื่องราว สมัยของการรู้จักใช้อักษรหรือสัญลักษณ์อื่นๆ  เพึ่งจะมีปรากฏและเริ่มนิยมใช้กันในสมัยเริ่มต้นของยุค  Middle   age    คือระหว่างศตวรรษที่ 5-6   และการบันทึกมีเพียงเครื่องหมายแสดงเพียงระดับของเสียง  และจังหวะ    ( Pitch  and   time )    ดนตรีเกิดขึ้นมาในโลกพร้อมๆกับมนุษย์เรานั่นเอง  ในยุคแรกๆมนุษย์อาศัยอยู่ในป่าดง  ในถ้ำ   ในโพรงไม้   แต่ก็รู้จักการร้องรำทำเพลงตามธรรมชาติ   เช่นรู้จักปรบมือ  เคาะหิน  เคาะไม้  เป่าปาก  เป่าเขา  และเปล่งเสียงร้องตามเรื่อง  การร้องรำทำเพลงไปเพื่ออ้อนวอนพระเจ้าเพื่อช่วยให้ตนพ้นภัย   บันดาลความสุขความอุดมสมบูรณ์ต่างๆให้แก่ตน   หรือเป็นการบูชาแสดงความขอบคุณพระเจ้าที่บันดาลให้ตนมีความสุขความสบาย
         โลกได้ผ่านหลายยุคหลายสมัย  ดนตรีได้วิวัฒนาการไปตามความเจริญและความคิดสร้างสรรค์ของมนุษย์  เครื่องดนตรีที่เคยใช้ในสมัยเริ่มแรกก็มีการวิวัฒนาการมาเป็นขั้นๆ  กลายเป็นเครื่องดนตรี   ที่เราเห็นอยู่ทุกวัน   เพลงที่ร้องเพื่ออ้อนวอนพระเจ้า  ก็กลายมาเป็นเพลงสวดทางศาสนา   และเพลงร้องโดยทั่วๆไป 
         ในระยะแรก  ดนตรีมีเพียงเสียงเดียวและแนวเดียวเท่านั้นเรียกว่า  Melody    ไม่มีการประสานเสียง  จนถึงศตวรรษที่ 12  มนุษย์เราเริ่มรู้จักการใช้เสียงต่างๆมาประสานกันอย่างง่ายๆ  เกิดเป็นดนตรีหลายเสียงขึ้นมา
 ยุคต่างๆของดนตรีสากล
         1. Polyphonic  Perio (ค.ศ. 1200-1650)  ยุคนี้เป็นยุคแรก  วิวัฒนาการมาเรื่อยๆ  จนมีแบบฉบับและหลักวิชการดนตรีขึ้น  วงดนตรีอาชีพตามโบสถ์ ตามบ้านเจ้านาย และมีโรงเรียนสอนดนตรี

         1. Polyphonic  Perio (ค.ศ. 1200-1650)  ยุคนี้เป็นยุคแรก  วิวัฒนาการมาเรื่อยๆ  จนมีแบบฉบับและหลักวิชการดนตรีขึ้น  วงดนตรีอาชีพตามโบสถ์ ตามบ้านเจ้านาย และมีโรงเรียนสอนดนตรี
         เพลงประเภทต่างๆ  แบ่งตามลักษณะของวงดนตรีได้  6  ประเภท  ดังนี้     


         นักปราชญ์ทางดนตรีได้แบ่งดนตรีสากลออกเป็นยุคต่างๆดังนี้
         2. Baroque  Period  (ค.ศ. 1650-1750)  ยุคนี้วิชาดนตรีได้เป็นปึกแผ่น  มีแบบแผนการเจริญด้านนาฏดุริยางค์    มีมากขึ้น  มีโรงเรียนสอนเกี่ยวกับอุปรากร  (โอเปร่า)  เกิดขึ้น  มีนักดนตรีเอกของโลก 2 ท่านคือ  J.S. Bach   และ    G.H.   Handen
         3.Classical  Period ( ค.ศ. 1750-1820 )  ยุคนี้เป็นยุคที่ดนตรีเริ่มเข้าสู่ยุคใหม่  มีความรุ่งเรืองมากขึ้น  มีนักดนตรีเอก 3 ท่านคือ  HaydnGluck   และMozart
         4. Romantic Period  ( ค.ศ. 1820-1900 )  ยุคนี้มีการใช้เสียงดนตรีที่เน้นถึงอารมณ์อย่างเด่นชัดเป็นยุคที่ดนตรีเจริญถึงขีดสุด เรียกว่ายุคทองของดนตรี นักดนตรีเช่น Beetoven และคนอื่นอีกมากมาย
         5.Modern  Period  ( ค.ศ. 1900-ปัจจุบัน ) เป็นยุคที่ดนตรีเปลี่ยนแปลงไปมาก  ดนตรีประเภทแจ๊ส (Jazz) กลับมามีอิทธิพลมากขึ้นเรื่อยๆจนถึงปัจจุบัน
         ขนบธรรมเนียมประเพณีของแต่ละชาติ  ศาสนา  โดยเฉพาะทางดนตรีตะวันตก   นับว่ามีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกับศาสนามาก      บทเพลงที่เกี่ยวกับศาสนาหรือเรียกว่าเพลงวัดนั้น  ได้แต่งขึ้นอย่างถูกหลักเกณฑ์    ตามหลักวิชาการดนตรี  ผู้แต่งเพลงวัดต้องมีความรู้ความสามารถสูง  เพราะต้องแต่งขึ้นให้สามารถโน้มน้าวจิตใจผู้ฟังให้นิยมเลื่อมใสในศาสนามากขึ้น  ดังนั้นบทเพลงสวดในศาสนาคริสต์จึงมีเสียงดนตรีประโคมประกอบการสวดมนต์   เมื่อมีบทเพลงเกี่ยวกับศาสนามากขึ้น  เพื่อเป็นการป้องกันการลืมจึงได้มีผู้ประดิษฐ์สัญลักษณ์ต่างๆแทนทำนอง  เมื่อประมาณ ค.ศ.  1000  สัญลักษณ์ดังกล่าวคือ  ตัวโน้ต ( Note )  นั่นเอง  โน้ตเพลงที่ใช้ในหลักวิชาดนตรีเบื้องต้นเป็นเสียงโด  เร  มี นั้น  เป็นคำสวดในภาษาละติน   จึงกล่าวได้ว่าวิชาดนตรีมีจุดกำเนิดมาจากวัดหรือศาสนา  ซึ่งในยุโรปนั้นถือว่าเพลงเกี่ยวกับศาสนานั้นเป็นเพลงชั้นสูงสุด
         วงดนตรีที่เกิดขึ้นในศตวรรษต้นๆจนถึงปัจจุบัน  จะมีลักษณะแตกต่างกันออกไป  เครื่องดนตรีที่ใช้บรรเลงก็มีจำนวนและชนิดแตกต่างกันตามสมัยนิยม  ลักษณะการผสมวงจะแตกต่างกันไป  เมื่อผสมวงด้วยเครื่องดนตรีที่ต่างชนิดกัน  หรือจำนวนของผู้บรรเลงที่ต่างกันก็จะมีชื่อเรียกวงดนตรีต่างกัน
ประเภทของเพลงดนตรี
         1. เพลงที่บรรเลงโดยวงออร์เคสตร้า  ( Orchestra )   มีดังนี้
                  - ซิมโฟนี่ (Symphony) หมายถึงการบรรเลงเพลงโซนาตา ( Sonata) ทั้งวง  คำว่าSonata  หมายถึง  เพลงเดี่ยวของเครื่องดนตรีชนิดต่างๆ  เช่นเพลงของไวโอลิน  เรียกว่า  Violin  Sonata  เครื่องดนตรีชนิดอื่นๆก็เช่นเดียวกัน   การนำเอาเพลง
                  โซนาตาของเครื่องดนตรีหลายๆชนิดมาบรรเลงพร้อมกันเรียกว่า  ซิมโฟนี่
                  - คอนเซอร์โต  ( Concerto)  คือเพลงผสมระหว่างโซนาตากับซิมโฟนี่  แทนที่จะมีเพลงเดี่ยวแต่อย่างเดียว  หรือบรรเลงพร้อมๆกันไปในขณะเดียวกัน  เครื่องดนตรีที่แสดงการเดี่ยวนั้น   ส่วนมากใช้ไวโอลินหรือเปียโน
                  - เพลงเบ็ดเตล็ด  เป็นเพลงที่แต่งขึ้นบรรเลงเบ็ดเตล็ดไม่มีเนื้อร้อง
         2. เพลงที่บรรเลงโดยวงแชมเบอร์มิวสิค  ( Chamber  Music )  เป็นเพลงสั้นๆ  ต้องการแสดงลวดลายของการบรรเลงและการประสานเสียง  ใช้เครื่องดนตรีประเภทเครื่องสาย  คือไวโอลิน วิโอลา และเชลโล
         3.  สำหรับเดี่ยว  เพลงประเภทนี้แต่งขึ้นสำหรับเครื่องดนตรีชิ้นเดียวเรียกว่า   เพลง โซนาตา
         4. โอราทอริโอ  ( Oratorio )  และแคนตาตา ( Cantata)  เป็นเพลงสำหรับศาสนาใช้ร้องในโบสถ์  จัดเป็นโอเปรา แบบหนึ่ง  แต่เป็นเรื่องเกี่ยวกับศาสนา
         5. โอเปรา (Opera  )  หมายถึงเพลงที่ใช้ประกอบการแสดงละครที่มีการร้องโต้ตอบกันตลอดเรื่อง   เพลงประเภทนี้ใช้ในวงดนตรีวงใหญ่บรรเลงประกอบ
         6. เพลงที่ขับร้องโดยทั่วไปได้แก่  เพลงที่ร้องเดี่ยว   ร้องหมู่  หรือร้องประสานเสียงในวงออร์เคสตรา    คามวงคอมโบ  ( Combo) หรือชาโดว์  (Shadow )  ซึ่งนิยมฟังกันทั้งจากแผ่นเสียงและจากวงดนตรีที่บรรเลงกันอยู่โดยทั่วไป









นักดนตรีสากล เบลา บาร์ต็อก (Bela Bartok)


  เบลา บาร์ต็อก เกิดเมื่อวันที่ 25มีนาคม พ.ศ.2424 (ค.ศ. 1881) ที่เมือง นากีซเซนต์มิคลอส ฮังการี (ในปัจจุบันคือเมือง ซานนิโคเลา มาเร ประเทศโรมาเนีย) เสียชีวิตเมื่อวันที่ 26 กันยายน พ.ศ. 2488 (ค.ศ. 1945) ที่นครนิวยอร์ก) เป็นทั้งคีตกวี นักเปียโน และนักสะสมดนตรีพื้นบ้านในแถบยุโรปตะวันออก เขาเป็นหนึ่งในกลุ่มผู้จัดตั้งสาขาวิชาดนตรีพื้นเมืองศึกษา (ethnomusicology)

ประวัติ เบลา บาร์ต็อก
มารดาของบาร์ต็อกได้สอนดนตรีให้แก่เขาตั้งแต่วัยเด็ก ซึ่งเขาได้เปิดตัวในฐานะนักเปียโนตั้งแต่อายุเพียงสิบปี ที่สถาบันดนตรีหลวงแห่งบูดาเปสต์ เขาได้พบกับ โซลทาน โคดาลี และต่อมา ทั้งคู่ร่วมกันรวบรวมและสะสมดนตรีพื้นบ้านในท้องถิ่น ก่อนหน้านั้นดนตรีพื้นบ้านฮังการีในทัศนะของบาร์ต็อกมีพื้นฐานมาจากทำนองเพลงของพวกยิปซี ที่คีตกวีเอก ฟร้านซ์ ลิซท์ นำมาเรียบเรียงใหม่ และในปี พ.ศ. 2446 (ค.ศ. 1903) เขาได้ประพันธ์ผลงานชิ้นสำคัญสำหรับวงดุริยางค์ ที่มีชื่อว่า Kossuth ในขณะที่พำนักอยู่ที่เมืองแมนเชสเตอร์ ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2450 (ค.ศ. 1907) ถึงปี พ.ศ. 2477 (ค.ศ. 1934) เขาได้เรียนเปียโน ที่วิทยาลัยดนตรีหลวงแห่งบูดาเปสต์ ในปี พ.ศ. 2450 เขาได้ประพันธ์บทเพลงพื้นบ้านฮังการี 3 เพลง และในปี พ.ศ. 2451 (ค.ศ. 1908) เขาได้ประพันธ์บทเพลงสำหรับวงควอเต็ตบทแรก
ในปี พ.ศ. 2454 (ค.ศ. 1911) เขาได้นำเสนอผลงานประพันธ์อุปรากรเรื่องเดียวของเขา นั่นก็คือ ปราสาทของนายหนวดน้ำเงิน รัฐบาลฮังการีได้ขอให้เขายกเลิกการใช้นามแฝง Béla Balázs ในการประพันธ์อุปรากร
ในระหว่างสงครามโลกครั้งที่หนึ่ง เขาได้แต่งเพลงประกอบบัลเล่ต์เรื่อง เจ้าชายแห่งไพรสนฑ์ และ แมนดารินวิเศษ ตามด้วยโซนาต้าอีกสองบทสำหรับบรรเลงด้วยเปียโนและไวโอลิน ที่ได้กลายเป็นหนึ่งในผลงานที่มีความสลับซับซ้อนที่สุดของเขา
เขาได้ประพันธ์สตริงควอเต็ต หมายเลข 3 สตริงควอเต็ต หมายเลข 4 ซึ่งได้รับการยกย่องว่าเป็นบทเพลงควอเต็ตที่ดีที่สุดเท่าที่มีการแต่งมา ในปี พ.ศ. 2470 - 2471 ซึ่งทำให้ภาษาทางการประสานเสียงของเขาเรียบง่ายลงเป็นต้นมา สตริงควอเต็ต หมายเลข 5 (พ.ศ. 2477) กลับมีรูปแบบที่ยึดกับขนบประเพณีเดิมมากขึ้น จากนั้นบาร์ต็อกได้ประพันธ์ สตริงควอเต็ต หมายเลข 6 อันเป็นควอเต็ตบทสุดท้ายที่เศร้าสร้อย ในปีพ.ศ. 2482 (ค.ศ. 1939) ที่จบลงด้วยการสูญเสียมารดาสุดที่รักของเขา
บทเพลงเหล่านี้เป็นชุดสุดท้ายที่เขาประพันธ์ขึ้นในยุโรป ในปี พ.ศ. 2483 (ค.ศ. 1940) ซึ่งเป็นช่วงเริ่มต้นของสงครามโลกครั้งที่สอง เขาได้เดินทางอย่างหมดอาลัยตายอยากไปยังสหรัฐอเมริกา เขารู้สึกไม่ค่อยดี จึงเป็นช่วงที่ไม่ได้ประพันธ์เพลง
ต่อมาแซร์จ คูสเซอวิทสกี ได้ว่าจ้างให้เขาแต่งเพลงคอนแชร์โต้สำหรับวงดุริยางค์ ซึ่งดูเหมือนว่าจะทำให้ความกระตือรือร้นในการแต่งเพลงของบาร์ต็อกหวนกลับมา เขาเริ่มประพันธ์ คอนแชร์โต้สำหรับเปียโน หมายเลข 3 ซึ่งเป็นบทเพลงที่เรียบง่ายและออกแนวนีโอคลาสสิก และเขาก็ได้เริ่มแต่งคอนแชร์โต้สำหรับวิโอล่าตามมาอีก
บาร์ต็อกเสียชีวิตด้วยโรคลูคีเมีย ผู้ที่ประพันธ์คอนแชร์โต้สำหรับวิโอล่าต่อจนจบคือลูกศิษย์ของเขา ทิบอร์ เซอร์ลี    


ผลงานทางดนตรีชิ้นสำคัญ

  เปียโน
 อัลเลโกร บาร์บาโร สำหรับเปียโน
 สวีท โอปุสที่ 14 สำหรับเปียโน
 โซนาต้าสำหรับเปียโน
 สวีท กลางที่โล่ง สำหรับเปียโน
 มิโครคอสมอส สำหรับเปียโน
 เชมเบอร์มิวสิค
 โซนาต้า สำหรับเดี่ยวไวโอลิน
 โซนาต้าสองบท และ แร็พโซดีสองบท สำหรับไวโอลิน และ  เปียโน
 คอนทราสต์ สำหรับคลาริเน็ทไวโอลิน และ เปียโน
 โซนาต้าสำหรับเปียโนสองหลัง และเครื่องเคาะ
 สตริงควอเต็ต หกบท
 บทเพลงสำหรับวงดุริยางค์
 คอนแชร์โต้ สำหรับ เปียโน สามบท
 คอนแชร์โต้สำหรับเปียโน หมายเลข 2
 คอนแชร์โต้สำหรับไวโอลิน สองบท
 คอนแชร์โต้สำหรับเปียโน หมายเลข 3
 คอนแชร์โต้สำหรับวิโอล่า
 ดนตรีสำหรับเครื่องสาย เครื่องเคาะ และเซเลสต้า  
 คอนแชร์โต้สำหรับวงดุริยางค์
 อื่นๆ
 อุปรากาเรื่อง ปราสาทของนายหนวดน้ำเงิน
 ละครใบ้เรื่อง แมนดารินวิเศษ
 บัลเลต์เรื่อง เจ้าชายแห่งไพรสนฑ์
 คันตาต้า คันตาต้า โพรฟานา




วันอังคารที่ 3 กันยายน พ.ศ. 2556

ดนตรีมีอะไรมากกว่าที่คิดจริงๆ


     

ดนตรี   คือ เสียงและโครงสร้างที่จัดเรียงอย่างเป็นระเบียบแบบแผน ซึ่งมนุษย์ใช้ประกอบกิจกรรมศิลปะที่เกี่ยวข้องกับเสียง โดยดนตรีนั้นแสดงออกมาในด้านระดับเสียง (ซึ่งรวมถึงท่วงทำนองและเสียงประสาน) จังหวะ และคุณภาพเสียง (ความต่อเนื่องของเสียง พื้นผิวของเสียง ความดังค่อย) นอกจากดนตรีจะใช้ในด้านศิลปะได้แล้ว ยังสามารถใช้ในด้านสุนทรียศาสตร์ การสื่อสาร ความบันเทิง รวมถึงใช้ในงานพิธีการต่าง ๆ ได้
 1. ดนตรีช่วยพัฒนาศักยภาพทางด้านบุคลิกภาพและความเป็นตัวตน การได้ทำกิจกรรมดนตรี ไม่ว่าจะเป็นการร้องเพลง เล่นดนตรี เต้นรำ ดนตรีจะเป็นเหมือนสื่อกลางที่ช่วยพัฒนาบุคลิกภาพและความเป็นตัวตนให้บุคคล นั้นมีความมั่นใจ กล้าแสดงออก กล้าคิดกล้าทำ มีเด็กวัยรุ่นหลายคนที่เป็นคนขี้อายและดูเหมือนเป็นคนไม่ได้เรื่องได้ราว แต่เมื่อได้มาเล่นดนตรีก็ได้ค้นพบตัวเองว่ามีความสุขและเมื่อรู้ว่าตนมีความสามารถในด้านดนตรีก็ทำให้เกิดความมั่นใจในตนเองมากขึ้น กล้าคิด กล้าทำ กล้าแสดงออกและมีบุคลิกภาพที่ดีขึ้น
      
      2.ดนตรีช่วยพัฒนาศักยภาพทางด้านอารมณ์ องค์ประกอบสำคัญของดนตรีคือ คำร้อง จังหวะและทำนอง ซึ่งเมื่อมารวมกันจะเกิดเป็นเพลงๆหนึ่งขึ้นมา ซึ่งในเพลงแต่ละเพลงนั้นต่างก็มีลักษณะหรือเอกลักษณ์ของดนตรีที่แตกต่างกันออกไป เพลงที่มีทำนองและจังหวะช้าๆทำให้รู้สึกสงบ มีสมาธิและผ่อนคลาย เพลงที่มีทำนองและจังหวะเร็วๆช่วยทำให้อารมณ์ครึกครื้น กระฉับกระเฉงและอยากเคลื่อนไหวร่างกาย เพลงที่มีคำร้องเศร้าสะเทือนใจจะทำให้คนฟังอารมณ์อ่อนไหวตามไปด้วย ในขณะที่เพลงที่มีคำร้องปลุกใจให้รักชาติ จะทำให้คนฟังมีความคึกคัก ฮีกเหิมและกล้าหาญตามไปด้วย
      

       ทั้งหมดนี้แสดงให้เห็นว่าดนตรีมีผลเป็นอย่างมากต่ออารมณ์ของคนเรา ในปัจจุบันการให้เด็กออทิสติกหรือเด็กที่มีความบกพร่องในการเรียนรู้ได้ฟังเพลงประเภทต่างๆจะช่วยให้เขาได้ผ่อนคลาย มีความก้าวร้าวทางอารมณ์ลดลง มีการแสดงออกทางอารมณ์ได้ดียิ่งขึ้นและมีความพร้อมในการเรียนรู้ได้ดีมากขึ้นด้วย
  
  3. ดนตรีช่วยพัฒนาศักยภาพทางด้านสติปัญญา มีงานวิจัยมากมายที่ยอมรับว่า ดนตรีสามารถพัฒนาสติปัญญาของมนุษย์ได้ ยิ่งถ้าได้มีการใช้ดนตรีตั้งแต่วัยเด็กด้วยแล้วจะยิ่งเพิ่มศักยภาพของสมองได้มากขึ้นด้วย มีผลการวิจัย (Dr.Thurman) สรุปว่าการที่แม่ตั้งครรภ์ได้ฟังเพลงอย่างสม่ำเสมอทุกวัน จะทำให้ลูกที่คลอดออกมามีพัฒนาการทางร่างกายและไอคิวสมองสูงและมีอารมณ์แจ่มใส
       
       นอกจากนี้ดนตรียังช่วยในเรื่องของการวิเคราะห์ การสังเคราะห์ การคิดอย่างมีระบบและในเรื่องของความจำด้วย ดังนั้น การสนับสนุนให้เด็กได้มีกิจกรรมดนตรีควบคู่ไปกับการเรียน เช่น ได้ร้องเพลง ได้ฟังเพลงที่ชอบ ได้เล่นเครื่องดนตรีที่สนใจ จะมีส่วนช่วยให้ผลสัมฤทธิ์ด้านการเรียนในวิชาต่างๆเพิ่มสูงขึ้น เพราะดนตรีช่วยให้เกิดความเชื่อมโยงระหว่างความมีเหตุมีผลกับจินตนาการ จึงทำให้มีการคิดวิเคราะห์หาความเป็นเหตุเป็นผลได้ดียิ่งขึ้น
      
       นักวิทยาศาสตร์หลายคนเชื่อว่าดนตรีนั้นสร้างอัจฉริยะได้จริง บุคคลที่ทำให้วงการวิทยาศาสตร์ต้องยอมรับในสมมติฐานนี้ที่เห็นได้ชัดเจนคือ ไอน์สไตน์ บุคคลซึ่งถูกยอมรับในเรื่องความฉลาดมากที่สุดคนหนึ่งของโลก นักวิทยาศาสตร์พยายามหาคำตอบว่าทำไมไอน์สไตน์ถึงมีความฉลาดมากและได้พบคำตอบ ว่า เส้นใยประสาทในสมองของไอน์สไตน์แตกแขนงออกไปอย่างหนาแน่นและสื่อสารกันได้ดี มาก ซึ่งตามหลักการทำงานของสมองนั้น ถ้าหากคนใดมีเส้นใยประสาทที่เชื่อมโยงกับเซลล์สมองมากเท่าไร คนนั้นก็ยิ่งฉลาดมากขึ้นเท่านั้น และในส่วนของไอน์สไตน์นั้นได้ค้นพบว่า ดนตรีมีส่วนในการส่งเสริมศักยภาพการทำงานของสมองของเขาได้มากทีเดียว
      
       ด้วยเพราะไอน์สไตน์เริ่มเรียนเปียโนตั้งแต่เด็กและเรียนไวโอลินเมื่อ อายุ 6 ปี ควบคู่ไปกับการเรียนวิทยาศาสตร์ เขาเล่นไวโอลินได้เก่งมากและมีความสุขกับการเรียนรู้ทั้งดนตรีและวิทยาศาสตร์ มีความชื่นชอบผลงานของนักดนตรีที่มีชื่อเสียงอย่างโมซาร์ต บีโธเฟนและบาร์ค จนมีคำกล่าวของไอน์สไตน์กล่าวไว้ว่า "หากไม่ได้เป็นนักฟิสิกส์ ข้าพเจ้าอาจเป็นนักดนตรี ฝันกลางวันเป็นดนตรี ความสุขส่วนใหญ่ในชีวิต ล้วนมาจากดนตรี" นี่จึงเป็นสิ่งที่ทำให้หลายคนยอมรับว่าดนตรีมีส่วนสำคัญที่สามารถส่งเสริมความสามารถในการทำงานของสมองได้อย่างดีเยี่ยมมากจริง ๆ
      
       จะเห็นได้ว่า "ดนตรีเป็นเรื่องของเสียงที่มีอะไรมากมายกว่าที่คิด" พ่อแม่บางคนไม่สนับสนุนให้ลูกได้ทำกิจกรรมดนตรีเพราะคิดว่าเป็นเรื่องไร้สาระและเสียเวลาเปล่า เอาเวลาไปเรียนอย่างอื่นได้ประโยชน์กว่า แต่จริงๆแล้วการได้ทำกิจกรรมดนตรีมีประโยชน์มากมายทั้งต่อร่างกาย จิตใจ อารมณ์ สังคมและสติปัญญา ที่สำคัญดนตรีทำให้คนมีความสุข อะไรเป็นความสุขก็ควรหยิบยื่นให้กับคนที่เรารัก เพราะความสุขทำให้เกิดผลดีในทุกสิ่งได้ และความสุขนั้นก็ได้ง่ายๆจากดนตรี